วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เกอิชา ตอนที่3

ตัวอย่างภาพประกอบ....ตอนจบแล้วจ้า!!!





.....ฉันมองดูเงาตัวเองแล้วก็ตื้นตันจนน้ำตาเอ่อกบนัยน์ตาจนต้องแหงนเงยขึ้นเพื่อไม่ให้ไหลย้อยลงมาเลอะใบหน้า
ก่อนออกจากโอกิยะ ฉันก็คว้างหยิบผ้าเช็ดหน้าซึ่งท่านประธานให้เช็ดน้ำตาเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็ยัดใส่ไว้ในโอบิ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง
แรกทีเดียวฉันต้องไปที่อพาร์ทแม้นท์ของมาเมฮาก่อน เพื่อน้อมคำนับขอบคุณหล่อนที่กรุณาให้เกียรติลดตัวลงมาเป็นเกอิชาพี่สาวของฉัน ซึ่งป้าก็ไปกับฉันด้วย
สำหรับชื่อเกอิชาซายูริของฉันนั้น มาเมฮาได้ไปปรึกษาหมอดูและเลือกเฟ้นอยู่นาน ชื่อจะฟังไพเราะหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าเขียนออกมาแล้วตัวอักษรจะสวยหรือไม่ ต้องตวัดพู่กัน ตวัดขีดกี่ขีด ซึ่งจำนวนเส้นที่ขีดนั้นสามารถจะบ่งบอกถึงโชคดีหรือโชคร้ายของเจ้าของชื่อได้
คำแรกของชื่อคือ
ซา หมายความว่า ร่วมกัน
ยู คือ ราศีปีไก่หรือระกา เพื่อให้สมดุลกับธาตุน้ำในตัวของฉัน
ส่วน ริ นั้นหมายถึง ความเข้าใจ
ทุกคำซึ่งประกอบกันเป็นชื่อสมพงศ์กับชื่อของมาเมฮาเป็นอันดี แต่ชื่อซึ่งเข้าหมู่เข้าพวกกับชื่อของหล่อนนั้นหมอดูบอกว่าไม่เป็นสิริมงคลต่อฉัน เพราะฉะนั้นอย่างเลือกดีกว่า.....




.....ฮัตสุโมโมะก็ยิ้มเวลาที่หล่อนมีความสุขเหมือนกับคนอื่น ๆ ไม่มีอะไรแปลก เพียงแต่หล่อนจะยิ้มเยื้อนอย่างมีความสุขยิ่งขึ้น ถ้าหากกำลังจะทำให้ใครสักคนต้องได้รับทุกข์ ดังนั้นหล่อนจึงยิ้มแย้มยิ่งนัก เมื่อเอ่ยว่า
“ต๊ายตาย บังเอิญอะไรยังงี้นะ ยายเด็กน้องใหม่คนนั้นนั่นเอง แต่แหม! เรื่องนี้ฉันไม่อยากพูดต่อไปเลย ประเดี๋ยวเด็กมันจะกระดากแย่”
ฉันได้แต่นึกภาวนาให้มาเมฮารีบพาฉันออกไปจากที่นี่หากแต่หล่อนก็เพียงแต่ชำเลืองมองฉันแวบหนึ่งอย่างเป็นห่วงเท่านั้นเอง
หล่อนคงดูออกว่าการปล่อยฮัตสุโมโมะไว้ตามลำพังกับลูกค้ากลุ่มนี้ ก็เหมือนวิ่งหนีออกจากบ้านเมื่อเกิดไฟลุกขึ้นในบ้านนั่นเอง ที่ถูกแล้วเราควรจะอยู่ แล้วจัดการดับไฟมากกว่า.....




.....เมื่อฉันไปถึง มาเมฮายังไม่กลับจากทำงาน สาวใช้พาฉันไปยังห้องแต่งตัว แล้วก็ช่วยแต่งหน้าให้ จากนั้นจึงช่วยสวมกิโมโนซึ่งมาเมฮาหยิบเตรียมเอาไว้ให้แล้ว
ฉันชินแล้วที่จะสวมกิโมโนของมาเมฮา ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่เกอิชาจะให้คนอื่นยืมกิโมโนแบบนี้ เพื่อนฝูงกันอาจจะขอยืมกิโมโนใส่ได้ครั้งสองครั้ง แต่เกอิชาพี่สาวมักจะไม่ให้เกอิชาน้องสาวใส่กิโมโนของตัวเองเรื่อยๆแบบที่มาเมฮาทำ
และจะพูดไปแล้วละก็ มาเมฮาก็ยุ่งยากเพราะฉันไม่น้อยเลย เนื่องจากหล่อนไม่ได้สวมกิโมโนแขนยาวกรุยกรายแบบสาวๆๆอีกแล้ว ดังนั้น เมื่อจะให้ฉันขอยืมสวมหล่อนก็ต้องไปรื้อออกมาจากห้องเก็บของเป็นเรื่องใหญ่ ฉันยังเคยนึกอยู่บ่อยๆเลยว่าหล่อนทำดีกับฉันอย่างนี้ต้องการอะไรตอบแทนบ้างหรือเปล่านะ
ฉันเติมหน้าอีกหน่อยหนึ่ง แล้วจึงติดเครื่องประดับผมจากนั้นก็สอดผ้าเช็ดหน้าของท่านประธานไว้ในโอบิ ผ้าเช็ดหน้านี้ฉันจะนำติดตัวไปด้วยเสมอเวลาไปงานสำคัญๆ โดยถือเป็นขวัญและกำลังใจ
เมื่อมองดูเงาตัวเองในกระจก ฉันก็แทบสำลักลมหายใจด้วยความตื่นเต้น วันนี้มาเมฮาจัดแจงให้ฉันได้แต่งเนื้อแต่งตัวจนสวยผิดตาไม่น่าเชื่อ
เมื่อมาเมฮากลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้ที่พบว่าหล่อนกลับเปลี่ยนเสื้อผ้าและเลือกแต่งตัวอย่างเรียบง่ายที่สุด จนดูธรรมดายิ่ง
คือเป็นกิโมโนสีน้ำตาลอมเหลืองเหมือนสีของมันฝรั่ง มีริ้วเล็กๆบางๆสีเทาอ่อน ส่วนโอบิดูเรีบยง่ายเช่นกัน คือพื้นสีน้ำเงินเข้มข้าวหลามตัดสีดำ
ดังนั้นขณะที่เดินด้วยกันในถนน พวกผู้หญิงซึ่งโค้งตัวให้มาเมฮาจึงกลับจ้องมองฉันแทนหล่อนแทบจะทุกคนไปเลยทีเดียว.....




.....ฉันทรุดกายลงโค้งคำนับชายทั้งสอง แล้วก็เอ่ยฝากเนื้อฝากตัวตามธรรมเนียม เมื่อจบเสร็จก็คุกเข่านิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
คุณโนบุไม่ได้สนใจจะพูดคุยด้วย เขาหันไปพูดกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งถัดไป จึงเหลือแต่เพียงท่านประธานเท่านั้นที่ยังนั่งนิ่งๆ มือกุมถ้วยชาซึ่งวางอยู่ในถาดบนตัก ขณะที่มาเมฮาลงมือชวนเขาคุย ฉันก็เอื้อมไปหยิบกาน้ำชาแล้วดึงแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมริน
ฉันอดแปลกใจไม่ได้เมื่อพบว่าสายตาของท่านประธานเลื่อนปราดมาจับยังท่อนแขนอันเปล่าเปลือยของฉันทันที
ฉันอดรู้สึกวาบหวามไม่ได้เมื่อตระหนักว่าเขากำลังจ้องมองอะไรอยู่ แสงสว่างภายในอาคารไม่มากนัก ดังนั้นท่อนแขนเมื่อดึงชายแขนเสื้อขึ้นจึงดูผุดผ่องยองใยในความสลัวน่ามองจนกระทั่งแม้แต่ตัวฉันเองก็รู้ตัว
และแล้วมาเมฮาซึ่งกำลังคุยเจื้อยแจ้วอยู่ก็หยุดพูดไปเสียเฉยๆ ทีแรกฉันก็นึกว่าหล่อนหยุดพูดเพราะสังเกตเห็นว่าท่านประธานมัวแต่มองแขนของฉันไม่วางตา แต่แล้วฉันจึงรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด
กาน้ำชานั้นไม่มีน้ำชาเหลืออยู่อีกแล้ว มันไม่มีเหลือตั้งแต่ก่อนฉันจะยกขึ้นมาตั้งท่ารินเสียอีก
หัวใจอันพองโตของฉันฟุบแฟบลงทีนทีด้วยความอับอาย ฉันพึมพำขอโทษละล่ำละลัก แล้วก็รีบวางกาน้ำชาลงลนลาน
มาเมฮาหัวเราะ
“เด็กคนนี้เอาการเอางานนะคะ ท่านประธาน” หล่อนพูด “นี่ถ้ามีน้ำชาเหลืออยู่ในกาสักหยดหรือสองหยด หล่อนก็ต้องพยายามรินออกจาจนได้น่ะแหละ”
“กิโมโนที่เกอิชาน้องสาวของเธอสวมสวยดีนะมาเมฮา”
ท่านประธานกลับพูดไปเสียอีกเรื่อง “ดูเหมือนฉันจะเคยเห็นเธอสวมสมัยเป็นเกอิชาฝึกหัดนะ ใช่ไหม”
ถ้าฉันยังสงสัยลังเลใจอยู่ในตอนแรกๆ ว่าคุณอิวามูระเคน คือท่านประธานของฉันจริงๆ หรือเปล่า บัดนี้ฉันก็สามารถจะแน่ใจได้แล้ว ด้วยว่าเสียงพูดของเขาเป็นเสียงอันนุ่มนวล มีเมตตาของท่านประธานไม่ผิดไปได้.....




.....และแล้วความน้อยใจเสียอกเสียใจก็พรั่งพรูเข้ามา ริมฝีปากของฉันสั่นระริก ฉันก้มหน้าลงแล้วร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจราวกับเป็นเด็กเล็กๆ
ฉันแปลกใจไม่น้อยที่โนบุรีบถามทันทีอย่างกังวลใจว่า
“ฉันทำให้เธอเสียใจหรือนั่น”
เมื่อร้องไห้ออกมาเสียแล้ว มันก็ไม่ยากอะไรนักหนาดอกที่จะสะอึกสะอื้นประกอบ
คุณโนบุจ้องหน้าฉันนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงปรารภว่า
“เธอนี่เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ไม่น้อยเลยนะ ซายูริ”
พักใหญ่ถัดจากเหตุการณ์นั้น ขณะที่เรานั่งรถลากกลับย่านกิออนด้วยกัน มาเมฮาก็หันมาทางฉันอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า
“นักมวยปล้ำทำให้ฉันคิดอะไรขึ้นมาอย่าหนึ่งแล้วละ ฮัตสุโมโมะต้องถูกทุ่มกระเด็นไปด้วยกลยุทธ์แบบนี้แหละ หล่อนจะนึกไม่ถึง และกว่าจะรู้ตัวก็กระเด็นไปแล้ว”
“คุณนึกแผนอะไรออกหรือค่ะ มาเมฮาซัง บอกฉันบ้างได้ไหมค่ะ”
“ไม่หรอก ฉันยังไม่บอกอะไรแก่ใครทั้งนั้น ตอนนี้ที่จะต้องทำมีอยู่อย่างเดียวคือใช้เธอผูกใจคุณโนบุเข้าไว้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาแล้วก็ก็ผู้ชายอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ใครค่ะ”
ผู้ชายที่เธอยังไม่รู้จัก...เอาละ เลิกพูดกันเถอะ ฉันบอกเธอมากเกินไปเสียแล้ว การที่เธอได้รู้จักคุณโนบุวันนี้น่ะ ดีจริงๆ เขานั่นแหละเป็นคนที่จะช่วยเธอได้ ซายูริเอ๋ย”
ฉันอดเสียใจวูบขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินที่มาเมฮาพูดถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งซึ่งจะช่วยฉันได้ ฉันจะอยากจะให้เป็นท่านประธาน ไม่ใช่ผู้ชายคนไหนทั้งนั้นในโลกนี่นะ.....


บทความบางตอนจาก "เกอิชา">>>วิหยาสะกำ<<<
ส่วนภาพประกอบทั้งหมดโดย..ปิยะณัฐ จ้า!!!

เกอิชา ตอนที่2

ต่อกันเลยนะค่ะ....





.....ฉันมองท่านประธานเดินจากไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว หากแต่เป็นความปวดร้าวด้วยความปลื้มปีติ
จากการที่ได้เจอะเจอท่านประธานกรรมการผู้นั้นเพียงชั่วระยะสั้นๆ ความรู้สึกนึกคิดของฉันก็ได้เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
จากเด็กหญิงซึ่งมีแต่ความว้าเหว่ว่างเปล่า กลับกลายมาเป็นเด็กซึ่งเกิดความมุ่งมั่นในชีวิตขึ้นอย่างประหลาด
ฉันอดคิดเพ้อเจ้อไปไม่ได้ว่า นี่ถ้าฉันเป็นเกอิชาที่ชื่ออิซูโกะคนนั้น ป่านนี้ฉันก็คงได้นั่งอยู่ข้างๆ ท่านประธาน ไม่ต้องเดินหงอยๆ กลับมานั่งที่ตรงนี้ แล้ววาดภาพเขาด้วยความคิดถึงอยู่อย่างนี้ดอก
ฉันไม่เคยนึกริษยาเกอิชาหรืออยากจะเป็นเกอิชามาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้
ความจริงฉันถูกซื้อตัวมาอยู่ที่เกียวโตนี่ ก็เพื่อที่จะได้เป็นเกอิชา แต่ตลอดเวลาดังกล่าว ฉันก็เอาแต่คิดจะวิ่งหนีกลับบ้านเดิมอยู่ทุกเวลานาที
เศษเงินที่ท่านประธานให้มาเมื่อซื้อน้ำแข็งไสแล้วก็ยังเหลืออีกมาก ฉันแบมือออกดู มันมีเหรียญขนาดต่างๆ กันอยู่ถึง 3 ขนาด
ตอนแรกฉันคิดจะเก็บเศษเงินเหล่านั้นเอาไว้โดยไม่ยอมหยิบออกใช้ตลอดกาล
แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เมื่อนึกถึงว่ายังมีวิธีอื่นอีกที่จะทำให้เงินจากท่านประธานได้ใช้ไปอย่างคุ้มค่า
ฉันรีบตรงดิ่งไปยังชิโจะ อเวนิว แล้วก็วิ่งไปตลอดทางจนสุดถนนสายนั้น ทางด้านตะวันออกสุดของย่านกิออน ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดกิออน ฉันขึ้นบันไดไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็เกิดนึกคร้ามเกรงความใหญ่โตของวัด จึงเดินอ้อมไปทางด้านหลังเสียแทน ตรงนั้นเมื่อเดินลอดประตูวิญญาณเข้าไปก็จะเป็นทางเข้าวิหารได้เช่นเดียวกัน
ฉันโยนเศษเงินทั้ง 3 เหรียญลงในหีบบริจาค ด้วยว่าเงินเพียงแค่นี้ก็สามารถปลดปล่อยฉันให้หลุดพ้นจากพันธะแห่งความทุกข์ทางใจที่มีต่อสภาพชีวิตในกิออนได้เช่นกัน
ฉันปรบมือขึ้น 3 ครั้ง อันเป็นการคารวะพระพุทธ รูปแบบญี่ปุ่น แล้วก็โค้งตัวลงอย่างต่ำ หลับตาลงประสานมือ แล้วก็อธิษฐาน
ฉันอธิษฐานขอให้พวกเขายินยอมให้ฉันได้ฝึกเป็นเกอิชาอีกสักครั้งหนึ่งเถิด ฉันจะยอมอดทนต่อความทุกข์และความยากลำบากทั้งปวงโดยไม่ปริปากบ่นเลย ด้วยว่าการเป็นเกอิชานั้นจะทำให้ฉันสามารถพบคนดีมีเมตตาแบบท่านประธานได้
เมื่อเสร็จจากการอธิษฐานและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉันก็ยังได้ยินเสียงยวดยานในถนนฮิกาชิโอจิ อเวนิวเหมือนเมื่อสักครู่ ใบไม้ก็ยังพลิ้วลมเสียงซู่ๆ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยนิด
พระจะได้ยินคำอธิษฐานของฉันหรือเปล่า ฉันก็ตอบไม่ได้ ฉันไม่มีทางอื่นให้เลือกปฏิบัติเลย นอกจากจะยัดผ้าเช็ดหน้าของท่านประธานลงในอกเสื้อ แล้วก็บ่ายหน้ากลับโอกิยะ......






.....ขณะนั้นสาวใช้ยกน้ำชามาเสิร์ฟพอดี
“ฉันคงไม่กล้าพนันกับคุณนายนิตตะหรอกนะชิโยะ ถ้าฉันไม่เชื่อแน่ว่าเธอจะสามารถทำได้สำเร็จ” มาเมฮาพูด “...นี่แน่ะ จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ ไหนๆ เธอก็จะต้องมาเป็นเกอิชาน้องสาวของฉันแล้ว ฉันน่ะเป็นคนเข้มงวดและจู้จี้พิถีพิถันมากเลยนะ..”
มาเมฮานิ่วหน้าเมื่อพูดต่อ
“แล้วก็นี่นะ ชิโยะ เลิกเป่าน้ำชาในถ้วยให้หายร้อนแบบนั้นเสียทีเถอะ ดูราวกับเด็กชาวนาแน่ะ วางทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนรอให้ค่อยยังชั่วร้อนแล้วค่อยจิบซิ”
“หนูขอโทษค่ะ” ฉันบอกเสียงอ่อย “หนูไม่รู้ตัวเลยว่ามันน่าเกลียด”
“ต่อไปนี้เธอต้องรู้จักสังเกตและเริ่มระวังเรื่องกิริยามารยาทได้แล้ว ไหนๆ ฉันก็บอกเธอแล้วว่าฉันเป็นคนเข้มงวด เพราะฉะนั้นฉันจะลงมืออบรมเธอเลยนะ”
ต่อไปนี้เธอจะต้องทำทุกอย่างที่ฉันบอกโดยไม่ถามหรือตั้งข้อสงสัยด้วยประการใดๆ ทั้งนั้น เข้าใจมั้ย.....



.....การเรียนดนตรีที่โรงเรียนเกอิชาจึงต้องเรียนทั้งการเล่นให้ได้เสียงไพเราะ ถูกต้อง แล้วก็ประสานเสียงกลมกลืนขณะเดียวกันผู้เล่นก็ต้องดูสง่างามชวนมองอีกด้วย
ในช่วงเช้าเมื่อเสร็จจากการเรียนกลอง ฉันก็ต้องไปเยนขลุ่ยญี่ปุ่นตามด้วยพิณซามิเซ็ง
กรรมวิธีในการเรียนเครื่องดนตรีทั้ง 3 แบบนี้คล้ายๆ กันคือ ครูลองเล่นให้ฟังท่องสั้นๆ ก่อน แล้วนักเรียนก็หัดเล่นตาม
หลักจากเรียนกล่อง ขลุ่ย และซามิเซ็งแล้ว ฉันก็ยังต้องเรียนการร้องเพลงอีกด้วย
ในญี่ปุ่นเรามักร้องเพลงกันเสมอเวลามีงานเลี้ยง และพวกผู้ชายนั้นก็มักจะมาที่ย่านกิออนเวลาจะมีเลี้ยงกัน และพวกผู้ชายนั้นก็มักจะมาที่ย่านกิออนเวลาจะมีเลี้ยงกัน ถึงแม้ว่าเกอิชาบางคนจะเสียงไม่ดีและไม่มีใครขอให้ร้องเพลงให้ฟัง หล่อนก็ยังต้องเรียนการร้องเพลงอยู่ดี เพื่อให้เข้าใจศิลปะการร่ายรำยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากนางรำจะต้องร่ายรำตามเสียงดนตรี ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ได้มีเครื่องดนตรีหลายชิ้น หากมีเพียงซามิเซ็งกับเสียงเพลงจากนักร้องเท่านั้น
เกอิชาฝึกหัดทุกคนจะต้องเรียนศิลปะการร่ายรำอย่างที่ฉันเคยบอกแล้ว หากแต่คนที่มี ความ
สามารถเฉพาะหรือสวยเด่น ก็จะถูกคัดไปเรียนการร่ายรำระดับสูงต่อไป ขณะที่คนอื่นๆจะถูกเคี่ยวไปเรียนหนักในด้านการร้องเพลงหรือดีดซามิเซ็ง.....



.....ขณะที่ฉันเดินตามหลักมาเมฮาไปในถนน เกือบทุกคนที่เราเดินผ่านจะต้องพูดหรือทักทายหล่อน อย่างน้อยที่สุดก็คือโค้งให้ ซึ่งทุกคนก็จะโค้งให้ฉันด้วยเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็ผงกหัวทักนิดหนึ่ง
หญิงสาวคงจะสังเกตเห็นความประดักประเดิดนี้ จึงดึงตัวฉันเข้าไปในตรอกเล็กค่อนข้างเงียบตรอกหนึ่ง แล้วสอนให้ฉันรู้จักวิธีเดินที่ถูกต้อง
ฉันฝึกหัดการเดินโดยมาเมฮาคอยติชมอย่างเอาจริง ฉันเดินไปก็คอยก้มลงมองดูข้อเท้าไป เพื่อที่จะดูว่าสามารถสะบัดชายกิโมโนให้ดูพลิ้วสวยอย่างที่หล่อนสอนแล้วหรือยัง
พักใหญ่มาเมฮาจึงพอใจ แล้วเราก็ออกเดินต่อไป
แล้วบ่ายนั้นฉันก็ถือโอกาสเล่าให้มาเมฮาฟังถึงการทำพิธีสาบานเป็นเกอิชาพี่น้องของฮัตสุโมโมะกับฟักทอง แต่ก็น่าแปลกที่หลายเดือนถัดจากนั้น มาเมฮาก็ยังไม่ยอดปริปากถึงการออกเป็นเกอิชาฝึกหัดของฉันอย่างฟักทองบ้างแต่ประการใด.....


บทความจาก "เกอิชา" >>> วิหยาสกำ <<<

เกอิชา ตอนที่ 1

เปิดตัว..... ตัวเอกของเรื่อง!!







.....ฉันไม่ได้เกิดและเติบโตในเมืองเกียวโต หากแต่เป็นลูกสาวชาวประมงที่หมู่บ้านเล็กๆ ชายฝั่งทะเล ชื่อหมู่บ้านโยโรอิโดะ
คนส่วนมากคิดเอาเองว่าเราคงเป็นเกอิชาสืบทอดกันลงมาตั้งแต่ยาย จนถึงแม่ แล้วก็ถึงฉัน แล้วก็ฉันคงถูกหัดให้ดำเนินชีวิตแบบเกอิชามาตั้งแต่หย่านมแม่ อะไรทำนองนั้น
.....วันหนึ่งขณะที่ฉันรินเหล้าสาเกให้ชายคนหนึ่ง เขาก็เล่าขึ้นมาว่า เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาได้ไปที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อโยโรอิโดะ ฉันรู้สึกตัวคล้ายกับตัวเองเป็นนกซึ่งโบยบินข้ามทะเลไปไกลแสนไกล แล้วจู่ๆ ก็เจอคนเขาบอกว่าเจอรังเก่าของตัว ฉันตะลึงพรึงเพริดเสียจนหลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัวว่า
“โยโรอิโดะ ตายแล้ว..ฉันเกิดและเติบโตที่นั่นนะคะ”
ชายที่น่าสงสารคนนั้นหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพยายามจะยิ้ม แต่ก็ดูเหยเกเต็มที เพราะยังไม่หายจากอาการตกใจ
.....ฉันเกิดและเติบโตในหมู่บ้านเล็กซึ่งเสื่อมโทรมนั้นจริงๆ และไม่เคยมีใครพูดเลยว่าโยโรอิโดะเป็นที่ที่น่าอยู่ มันเป็นสถานที่ซึ่งน้อยคนนักจะเหยียบย่างไปถึง ส่วนคนที่อยู่ที่นั่นก็แทบจะไม่มีสติปัญญาจะดิ้นรนย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่น
คุณคงอยากจะรู้ล่ะซิว่าฉันจากที่นั่นมาได้อย่างไร เอาเถอะ..ฉันจะเล่าให้ฟัง
โยโรอิโดะ ความจริงไม่ควรเรียกว่าเมืองเพราะเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ เท่านั้น
บ้านที่ฉันเกิดและเติบโตเป็นกระท่อมโย้เย้บนเขาตรงหน้าผาซึ่งหันออกทะเล จากตรงนั้นเราจะมองเห็นทะเลตลอดเวลา แล้วก็หนาวมาก ทะเลส่งเสียงครืนครั่นและคลื่นเมื่อถาโถมเข้ากระทบหินผาก็ทำให้เกิดละอองน้ำปลิวฟุ้ง
กระท่อมของเราโย้เย้เสียจนพ่อต้องไปหาเสาไม้จากเรือแตกที่ลอยมาติดหาดเอามาค้ำชายคาเอาไว้ บ้านของเราเลยยิ่งดูตลกเหมือนตาแก่ถือไม้เท้า
เมื่อเด็กๆ นั้น ฉันหน้าตาเหมือนแม่มาก แทบจะไม่มีส่วนคล้ายคลึงพ่อหรือพี่สาวเอาเสียเลย แม่บอกว่าที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะแม่กับฉันเป็นคนธาตุน้ำเหมือนกัน
นัยน์ตาของแม่กับนัยน์ตาของฉันไม่ได้เป็นสีน้ำตาลแก่เหมือนคนญี่ปุ่นอื่น ๆ แต่กับเป็นสีเทาอ่อนดูใสเหมือนลูกแก้ว
เมื่อเด็กๆ ฉันเคยบอกแม่ว่า คงจะมีใครเอาไม้ทิ่มตาฉัน หมึกในตาดำของฉันเลยรั่วออกมาหมด ทำให้มีสีตาไม่เหมือนใครอย่างนี้ แม่ขันคำพูดของฉันมาก
ส่วนหมอดูนั้นเคยบอกว่า การที่เราทั้งสองคนมีตาสีประหลาด ก็เพราะเป็นคนมีธาตุน้ำอยู่ในตัวมากจนเกือบจะไม่มีธาตุอื่นเอาเสียเลย และด้วยเหตุนี้แหละ แม่ของฉันจึงหน้าตาแปลกไม่เหมือนใคร คนในหมู่บ้านพูดบ่อยๆ ว่าแม่ของฉันควรจะสวยเพราะตากับยายหน้าตาดีมากทั้งคู่
แต่ก็นั่นแหละนะ ลูกพีชก็อร่อยแบบพีช เห็ดก็อร่อยแบบเห็ด จะให้เหมือนกันได้ยังไง
ตาสีเทาของแม่มีขนตาหนาและยาว เป็นเครื่องประกอบแบบเดียวกับตา แต่ไม่ยักทำให้ดูดี กลับทำให้คนที่มองเห็นถึงกับสะดุ้งไปทีเดียว
แต่พอฉันอายุได้ 9 ขวบ แม่ก็กลับผอมเสียจนกระดูกแก้มโปน ฉันไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นเพราะน้ำระเหยออกไปจากตัวหมด แม่จึงเป็นเช่นนั้น เหมือนสาหร่ายซึ่งปรกติเคยเปียกชุ่ม แต่พอน้ำระเหยไปหมดก็จะกรอบแห้งผาก
พอมาถึงช่วงนี้ แม่ก็ดูจะทอดอาลัยต่อชีวิตเสียแล้ว.....













......ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับฮัตสุโมโมะ เราทุกคนในโอกิยะก็เทิดทูนหล่อนราวกับนางพญา
ด้วยว่าหล่อนเป็นผู้หารายได้เข้าโอกิยะเพื่อเลี้ยงดูพวกเราเพียงลำพัง
ในเมื่อเป็นนางพญา ฮัตสุโมโมะก็ย่อมจะหงุดหงิดเป็นธรรมดา หากว่ากลับมาถึงในตอนดึกแล้วพบว่าสำนักปิดไฟเงียบ และทุกคนนอนหลับกันหมด
ดังนั้นในทางปฏิบัติ คืนใดที่ฮัตสุโมโมะกลับมาถึงและเมาจนถอดถุงเท้าเองไม่ได้ เราคนใดคนหนึ่งก็จะต้องถอดให้หล่อน
ถ้าหากว่าหล่อนหิว หล่อนก็ไม่ต้องไปเข้าครัวหาอะไรกินเอง ด้วยว่าจะมีคนไปจัดแจงให้เสร็จสรรพ
หน้าที่คอยรอรับเกอิชาซึ่งกลับมาถึงสำนักในตอนดึกนั้น ตกเป็นของเกอิชาฝึกหัดซึ่งอายุน้อยที่สุดในสำนักเกอิชาแห่งนั้น ในระยะนั้นก็ได้แก่ฉันนั่นเอง
ดังนั้นดึกดื่นหลังเที่ยงคืนไปแล้วนานเนิ่น ขณะที่ฟักทองและสาวใช้สูงอายุ 2 คน หลับสบายไปเรียบร้อยแล้ว บนฟูกห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉันก็ยังต้องคุกเข่าคอยรอรับฮัตสุโมโมะอยู่อย่างอดทน ทั้งๆ ที่อาจจะเป็นเวลากว่าตี 2 เข้าไปแล้ว และฉันง่วงแสนง่วงเพียงไรก็ตามที......






บทความจาก เกอิชา >>> วิหยาสะกำ <<<

....ในการเขียนภาพประกอบหนังสือ >> ควรจับใจความสำคัญของบทนั้นๆ ว่าพูดถึงเรื่องอะไร เด่นในเรื่องใด ตรงจุดไหนคือจุด
เด่นของเรื่อง แล้วจับประเด็นสำคัญมาเป็นภาพประกอบจ้า.....

Sketch แบบร่าง

การ sketch>> แบบร่าง ขั้นตอนแรกของการเขียนภาพประกอบจ้า....



>>การสร้างสรรค์ผลงานในโครงการออกแบบภาพประกอบหนังสือ นวนิยายญี่ปุ่นเรื่อง เกอิชาได้ค้นคว้าข้อมูลข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ดีควรเป็นอย่างไร ภาพประกอบหนังสือนวนิยาย เรื่องสั้น และวรรณคดี รวมไปถึงองค์ประกอบในการสร้างสรรค์ภาพประกอบที่ดี นอกจากนั้นแล้วยังต้องศึกษาเรื่องราวของเกอิชา และขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ยุคก่อนสงครามโลก และจากภาพยนตร์เรื่อง Memoirs of a Geisha ซึ่งมีเค้าโครงตรงกับบทประพันธ์ในนวนิยาย..แต่อาจจะไม่ละเอียดเท่าในหนังสือจ้า
... ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าแต่เดิมหนังสือเรื่องนี้มีภาพประกอบอยู่แล้ว ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะของผู้เขียนอยู่ ลักษณะเป็นภาพสัญญาลักษณ์แทนความหมายให้ผู้อ่านนึกและเข้าใจเอาเอง อาจจะมีความเข้าใจยากสักนิดสำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้และสัมผัสถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่น หรือ เกอิชา... มาก่อนเลย




รูปลักษณะของตัวเอก(ตอนเด็ก)จากในหนังสือ>>> เป็นเด็กน่าตาน่ารัก... เพราะโตมาเป็นนางเอกค่ะ



ร่างแบบ(Sketch)ตามที่กำหนด โดยคำนึงถึงความถูกต้องตามเนื้อเรื่อง ภาพร่างนี้อาจจะหาแบบเพื่อให้ถูกตามลักษณะของชาวญี่ปุ่นซึ่งมีลักษณะเฉพาะไม่ค่อยเหมือนใคร อาจมีการแก้ไขภายหลังเพื่อความเหมาะสมและสวยงาม






ลักษณะ ท่าทาง>>การแต่งกาย ต้องให้ตรงกับในเนื้อเรื่องด้วยจ้า..แต่สามารถแก้ไขได้ภายหลัง









การร่างภาพควรร่างด้วยน้ำหนักที่เบาๆนะค่ะ ไม่ควรลงน้ำหนักเข้มเกินไป....

ขั้นตอนการเขียนภาพประกอบ....

กว่าจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง...555





ขั้นตอนการเขียนภาพประกอบ>>หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จนทราบซึ้ง และ ประทับใจสุดๆ!!!
1.ขั้นตอนแรกคือการร่างแบบ(Sketch)ร่างตามที่กำหนด โดยคำนึงถึงความถูกต้องตามเนื้อเรื่อง >>>ภาพร่างนี้อาจจะหาแบบเพื่อให้ถูกตามลักษณะของชาวญี่ปุ่นซึ่งมีลักษณะเฉพาะไม่ค่อยเหมือนใคร อาจมีการแก้ไขภายหลังเพื่อความเหมาะสมและสวยงามจ้า


2. ถ่ายแบบเพื่อนำมาเป็นแบบในการวาด เนื่องจากได้ตั้ง concept ไว้ว่าจะสร้างสรรค์ภาพประกอบหนังสือออกมาในแนวเหมือนจริงและมีความสวยงาม เพื่อให้ถูกสัดส่วนของมนุษย์ anatomy จึงจำเป็นต้องมีแบบในการสร้างสรรค์ภาพ ลักษณะของการถ่ายแบบ ถ่ายตามภาพร่าง Sketch หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้างตามความเหมาะสม เพื่อความสวยงาม แต่ยังคงลักษณะท่าทางเดิม ไม่ผิดเพี้ยนในเนื้อหาของบทประพันธ์แต่อย่างใด>>หานางแบบสวยๆนะค่ะ... อิอิ


3. ขั้นตอนในการเริ่มวาดภาพจริง เริ่มวาดจากตัวคนและใบหน้าส่วนรวมก่อน ซึ่งมีความสำคัญ และเป็นจุดเด่นของภาพ โดยจะใช้สีไม้ในการร่างภาพ เช่นสีน้ำตาลแดง เพื่อไม่ให้มีรอยดินสอและจะทำให้ภาพดูแข็ง ไม่สวยงาม และลำบากเวลาถึงขั้นตอนที่ต้องลงสีจริง การลงสีนั้นจะเลือกใช้เทคนิคสีผสม คือการใช้สีชอล์กในการลงพื้นงาน และใช้ดินสอสีเก็บรายละเอียดอีกครั้ง....เป็นเทคนิคเฉพาะตัวอ่า>>> เพื่อให้ได้ผลงานที่มีความสมบูรณ์เพิ่มรายละเอียดและความสวยงามยิ่งขึ้น ในการเขียนภาพตามแบบนั้น อาจมีการเพิ่มเติม ดัดแปลง ให้มีความเหมาะสม และถูกต้องตามเนื้อหาของบทประพันธ์ เช่น สีสันและลวดลายของเสื้อผ้า ทรงผม เครื่องประดับ เป็นต้นจ้า



...จากนั้นจึงเก็บในส่วนของรายละเอียดต่างๆในภาพไปจนถึงในส่วนของฉากที่ใช้ในภาพ ที่จะเพิ่มให้ภาพมีความสมบูรณ์มากขึ้นตามเหตุการณ์ในแต่ละตอน แต่จะไม่เก็บละเอียดมากเพราะอาจจะเด่นแข็งกับจุดเด่น เมื่อผลงานเสร็จแล้วจึงนำไปถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล ซึ่งอาจจะได้สีเพี้ยนจากเดิมไปเล็กน้อยค่ะ>>> นำไปปรับสีในโปรแกรม Photoshop เพื่อให้ได้สีที่ตรงกับความเป็นจริงหรืออาจจะสีสดกว่านิดหน่อยและครอปรูปภาพตามขนาดความเหมาะสม เพื่อนำไปทำในขั้นตอนของภาพประกอบหนังสือต่อไป.....


ลองทำดูนะค่ะ..สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีพื้นฐาน อาจฝึกจากการเขียนการ์ตูนก่อนก็ได้ค่ะ >>> จะเขียนง่ายกว่าจ้า....

หนังสือ "Geisha"

ก่อนเขียนภาพประกอบ.... มาศึกษาข้อมูลกันก่อนจ้า!!!!


....เมื่อเก้าปีก่อนนักเขียนชาวอเมริกันโนเนมนาม อาร์เธอร์ โกลเด้น ทำให้ผู้อ่านทั่วโลกได้รับรู้เรื่องราวอันน่าหลงใหล ของโลกลี้ลับในหนังสือเล่มแรกของเขา "Memoirs of a Geisha" ที่ว่าด้วยเรื่องราวโรแมนติกสะเทือนใจของเกอิชาคนหนึ่ง ที่ต้องต่อสู้กับชะตากรรมและดิ้นรนหาความรักซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในโลกของเกอิชา เรื่องราวของ "ซายูริ"(นางเอก ที่มียัยตาสีน้ำทะเล) จับใจคนทั่วโลกและขายได้มากถึงสี่ล้านเล่มทั่วโลก ทั้งยังได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 32 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย >>หาอ่านยากแล้วละค่ะ เรื่องนี้...



หนังสือ จะมีสองเล่มแบบนี้ค่ะ>> เล่มหนึ่ง กับเล่มสอง แนะนำค่ะเนื้อเรื่องสนุกมาก>>>จะว่าไปสนุกกว่าดูหนังอีกนะเนี่ย!! พออ่านเสร็จก็ปิ้ง!ขึ้นมาทันที>>> นี่แหละหัวข้อ Thesis ฉัน... อิอิ



หนังสือเรื่อง เกอิชา ในภาคภาษาไทยถูกแปลด้วย......มนันยา ธนะภูมิ หรือ ในชื่อนามปากกา "วิหยาสะกำ" จ้า!!
‘มนันยา‘ หรือนามจริง มนันยา ธนะภูมิ เคยรับราชการกรมชลประทานมายาวนานจึงลาออกมาเป็นนักเขียนเต็มตัวในปี 2543 ปัจจุบัน เป็นอาจารย์พิเศษสอนปริญญาโท วิชาการแปลให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยรามคำแหง และรับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการแปลอยู่เป็นเนืองนิตย์เป็นเจ้าของผลงานแปลกว่า 122 เล่มใช้นามปากกา “มนันยา” ในงานเขียน, งานแปลนวนิยาย, งานแปลรวมเรื่องสั้นชุดใช้นามปากกา>>> “วิหยาสะกำ” ในการแปลนวนิยาย ใช้นามปากกา “มนทกานติ” ในการเขียนเรื่องสั้นหลายสิบเรื่อง ใช้นามปากกา ”ปุริมสิทธิ์” ในการแปลสารคดี ใช้นามปากกา “อากาศพลศาสตร์” ในการสัมภาษณ์ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระค่ะ



" Geisha"เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นหลายปีก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเด็กหญิงชาวบ้านคนหนึ่งต้องพลัดพรากจากครอบครัวที่ยากจนของเธอเพื่อมาทำงานเป็นเด็กรับใช้ในสำนักเกอิชา.......แม้ว่าเธอจะมีคู่แข่งตัวร้ายที่เกือบทำให้เธอหมดสิ้นกำลังใจ เด็กสาวก็เติบโตบานสะพรั่งเป็นเกอิชาชื่อดังนาม "ซายูริ" สาวสวยผู้มีเสน่ห์เย้ายวนที่เป็นที่หลงใหลของชายที่ทรงอำนาจที่สุดในยุคนั้น แต่กระนั้นเธอก็มอบหัวใจแก่ชายสูงศักดิ์ผู้อารี แม้จะต้องทำใจยอมรับชะตากรรมที่ว่า "เกอิชาไม่ทีสิทธิรักใคร"
...นานมาแล้วที่เกอิชาเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งที่สร้างความหลงใหลให้ญี่ปุ่นและทั่วทั้งโลก พวกเธอออกจากบ้านยามพลบค่ำราวกับผีเสื้อที่ลอกคราบจากดักแด้เพื่อตระเวนไปตามนัดหมายที่ร้านน้ำชาในยามราตรี งานสังคมช่วงค่ำคืนเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจในญี่ปุ่นมาเนิ่นนาน การมีเกอิชาร่วมงานก็เป็นการสะท้อนถึงฐานะอันมั่งมีของเจ้าภาพได้เป็นอย่างดี





นี่คือที่มาของ Thesis ของฉันเองจ้า....

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Poster colour of art

สีโปสเตอร์....ที่สุดของสี(ใช้ยากที่สุดอ่ะ)!!!






สีโปสเตอร์
เป็นสีชนิดสีฝุ่น (Tempera) ที่ผสมกาวน้ำบรรจุเสร็จเป็นขวด การใช้งานเหมือนกับสีน้ำ คือใช้น้ำเป็นตัวผสมให้เจือจาง สีโปสเตอร์เป็นสีทึบแสง มีเนื้อสีข้น สามารถระบายให้มี เนื้อเรียบได้ และผสมสีขาวให้มีน้ำหนักอ่อนลงได้เหมือนกับสีน้ำมัน หรือสีอะครีลิค>>>ถือได้ว่าเป็นสีที่หินที่สุด ถ้าเกลี่ยสีโปสเตอร์ได้ สีอื่นๆก็ไม่ยากแล้วค่ะ....สามารถ ระบายสีทับกันได้ มักใช้ในการวาดภาพ ภาพประกอบเรื่อง ในงานออกแบบ ต่าง ๆ ใช้ได้สะดวก ในขวดสีโปสเตอร์มีส่วนผสมของกลีเซอรีน จะทำให้แห้งเร็ว>>>ยี่ห้อที่แนะนำก็เป็นของ ซากุระ เป็นยี่ห้อที่มาตรฐานที่สุดแล้ว สีสวย เข้มข้นจ้า....



ที่ว่าเป็นสีที่ยากที่สุดก็เพราะ การจะเกลี่ยสีโปสเตอร์ให้สวยงามและเรียบเนียนนั้น เป็นเรื่องยากเหลือเกิน>>>แต่ถ้าใช้ตัดกราฟฟิคจะง่ายกว่า.....การเกลี่ยสีมีหลายวิธี ทั้งเกลี่ยเวลาเปียก และแห้ง เราจะใช้ฝีแปรงจากพู่กัน จุ่มสีเพียงเล็กน้อย จากนั้นเช็ดสีและทำปลายพู่กันให้เป็นลักษณะเหมือนรูปพัด ค่อยๆเกลี่ย ไล่ตั้งแต่น้ำหนักแรกไปยังน้ำหนักที่เข้มขึ้น เราเรียกการเกลี่ยสีแบบนี้ว่า "ทีพู่กัน" เนื้อที่เล็ก ใช้พู่กันเบอร์เล็ก เนื้อที่ใหญ่ใช้พู่กันเบอร์ใหญ่......ตามความเหมาะสม



น้ำเป็นส่วนผสม ที่สำคัญในการใช้สีโปสเตอร์ ไม่ควรผสมน้ำมากเกินไป จะทำให้สีไม่เข้มข้น>>เนื่องจากสีโปสเตอร์เป็นสีที่ทึบแสง สามารถระบายทับกันได้ หากเวลาที่ระบายแล้วไม่เรียบเนียน เราก็ใช้พู่กันชุบน้ำ พอหมาดๆแล้วใช้วิธี ทีพู่กัน ค่อยๆเกลี่ยทับ แต่ต้องเบาๆมือ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้งานเสียได้....สีโปสเตอร์เป็นสีที่แก้ไขยากมาก!!!



สิ่งที่ควรระวังเวลาเก็บงาน>>>แมลงสาบจะชอบแทะกินสีโปสเตอร์มากค่ะ ถ้าไม่ได้เก็บไว้ในแฟ้ม หรือ ใส่กรอบไว้ ควรจะพ้นแล็กเกอร์สเปย์ไว้นะค่ะ จะช่วยป้องกันได้ แต่ไม่ควรพ้นมากเกินไป....เอาแบบพอดีๆนะจ๊ะ







สีโปสเตอร์เป็นสีที่ยากก็จริง..... แต่ก็เป็นสีที่สวยงาม มีสีสันสดใส ใช้ได้กับทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ภาพเหมือน แนวกราฟฟิค การ์ตูน หรือแบบดีไซน์ และเป็นสุดยอดของสีจริงๆค่ะ

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Water colour of Art

มาระบายสีน้ำกัน!!!.....





สีน้ำ
เป็น สีที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ทั้งในแถบยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะจีน และญี่ปุ่นซึ่งมีความสามารถในการระบายสีน้ำ>>เพราะมีความสามารถในการใช้พู่กัน สังเกตุคือจะใช้หมึก และ พู่กัน เขียนตัวอักษรจีนตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่ในอดีตการระบายสีน้ำมักใช้เพียงสีเดียว คือ สีดำ ผู้ที่จะระบายได้อย่างสวยงามจะต้องมีทักษะการใช้พู่กันที่สูงมาก>>เช่นภาพจิตกรรมของศิลปินจีน การระบายสีน้ำจะใช้น้ำ เป็นส่วนผสม และทำละลายให้เจือจาง ในการใช้สีน้ำ ไม่นิยมใช้สีขาวผสมเพื่อให้มีน้ำหนัก อ่อนลง และไม่นิยมใช้สีดำผสมให้มีน้ำหนักเข้มขึ้น เพราะจะทำให้เกิดน้ำหนักมืดเกินไป แต่จะใช้สีกลางหรือสีตรงข้ามผสมแทน ลักษณะของภาพวาดสีน้ำ จะมีลักษณะใส บาง และสะอาด การระบายสีน้ำต้องใช้ความชำนาญสูงเพราะผิดพลาดแล้วจะแก้ไขยากจะระบายซ้ำ ๆ ทับกันมาก ๆ ไม่ได้จะทำให้ภาพออกมามีสีขุ่น ๆ ไม่น่าดู หรือที่เรียกว่า สีเน่านั่นเองค่ะ




สีน้ำที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน จะบรรจุในหลอด เป็นเนื้อสีฝุ่นที่ผสมกับกาวอะราบิค ซึ่งเป็นกาวที่สามารถละลายน้ำได้ มีทั้งลักษณะที่โปร่งแสง ( Transparent ) และกึ่งทึบแสง ( Semi-Opaque ) ซึ่งจะมีระบุ ไว้ข้างหลอด สีน้ำนิยมระบายบนกระดาษที่มีผิวขรุขระ หยาบ >>>เพราะถ้าใช้กับกระดาษที่มีความบาง จะทำให้กระดาษขาดง่ายนะจ๊ะ



อุปกรณ์ สีน้ำ ค่อนข้างยุ่งยากนิดนึง เพราะมีอุปกรณ์เยอะ>>ตอนที่เรียน จะส่งซื้อเป็นชุดเลยค่ะ มาทั้งกะเป๋าเลยขนาด A1 ใหญ่ซะ แต่อุปกรณ์ที่ควรมีเลยก็คือ
1.กระดาษเขียนสีน้ำโดยเฉพาะ แนะนำว่าควร 200 แกรม ขึ้นไปนะค่ะ เพราะเวลาเขียนจะได้ไม่พองตัว หรือขาดได้>>เวลาเขียนในกระดาษที่ไม่หนา ไม่แข็ง รู้สึกเหมือนจะเขียนไม่สวย.... หรือคิดไปเอง555 ราคาของกระดาษก็จะขึ้นอยู่กับความหนา และชนิดของ แกรมนะค่ะ
2.ตลับสี ถ้ามืออาชีพหน่อยก็จะใช้อันใหญ่ๆ เราจะบีบสีไว้ในตลับเลย ผสมทิ้งไว้ เวลาใช้ก็แค่ผสมน้ำนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้วค่ะ
3.ถังล้างสี ที่นิยมใช้กันจะเป็นแบบที่ยืดหย่นได้เก็บง่าย ใบไม่ใหญ่มาก เพื่อสะดวกเวลาพกพา เวลาออกนอกสถานที่
4.ฟองน้ำ สำหรับเขียนสีน้ำ มีลักษณะเป็นก้องสี่เหลี่ยม เวลาโดนน้ำหรือเปียกจะนุ่ม แต่เวลาแห้งจะแข็งตัว ฟองน้ำนี้เอาไว้ใช้ประโยชน์หลายอย่างค่ะ ใช้เช็ดสี ซับน้ำ หรือแม้แต่ สร้างเทคนิคใหม่ด้วยจ้า...
5.สีน้ำ>>> พระเอกของเรา มีทั้งแบบที่ขายเป็นหลอด และแบบเป็นกล่อง ยี่ห้อที่แนะนำก็ เลอฟรัง เป็นของฝรั่งเศษค่ะ ยี่ห้อนี้ราคาไม่แพงมาก เหมาะสำหรับมือใหม่ค่ะ 12 สี ราคาเพียงแค่ 250 บาทเท่านั้น เรื่องคุณภาพของสีก็ดีค่ะ ใช้ง่าย
6.พูกัน ควรมีหลายๆขนาดค่ะ ตั้งแต่แปรงใหญ่เลยๆ ไล่ไปจนถึงขนาดเล็กสุด และเล็กมากๆ>>ทำมาจากขนในหูของวัว... น่าจะใช่นะ>> อาจารย์บอกมา



7.กระดาน เขียนสีน้ำ ควรใช้แบบที่เป็นไม้อัดนะค่ะ แบบที่เป็นกระดาษ อาจจะขึ้นราได้
8.ขาตั้งกระดาน ใช้เพื่อสะดวกในการเขียนภาพ ใช้อันเล็กก็ได้ค่ะ อันใหญ่จะราคาแพงนิดนึง
9.เทปกาว ติดกระดาษ เป็นแบบที่ใช้กับสีน้ำโดยเฉพาะ เวลาใช้ก็จะใช้น้ำลูบบางๆ การติดกระดาษ จะต้องไล่อากาศให้เนียบที่สุด ไม่อย่างนั้นมันจะพองได้นะค่ะ





สีน้ำเป็นสีที่เขียนสบายๆค่ะ ใช้เวลาไม่มาก อาจไปนั่งเขียนเวลาว่าง หรือ วันหยุด ก็ได้บรรยากาศดี บางครั้งอาจจะดูยากไปนิด สำหรับมือใหม่ แต่ถ้าฝึกฝนเยอะๆ สีน้ำจะเป็นสีที่มีเสน่ห์มากเลยล่ะค่ะ>>> เป็นการฝึกจิตใจให้สงบและฝึกสมาธิอีกด้วยจ้า....

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Tempera of Art

สีฝุ่นจ้า.....ฮัดเช้ยยยยยย!!!(ไม่ใช่ฝุ่นละอองนะ)





สีฝุ่น TEMPERA
สีฝุ่น เป็นสีเริ่มแรกของมนุษย์ ได้มาจากธรรมชาติ ดิน หิน แร่ธาตุ พืช สัตว์ นำมาทำให้ละเอียดเป็นผง ผสมกาวและน้ำ>>>กาวทำมาจากหนังสัตว์ กระดูกสัตว์ สำหรับช่างจิตรกรรมไทยใช้ ยางมะขวิด(ชื่อแปลกจัง)หรือกาวกระถิน ซึ่งเป็นตัวช่วยให้สีเกาะติดพื้นผิวหน้าวัตถุไม่หลุดได้โดยง่าย ในยุโรปนิยมเขียนสีฝุ่นโดยผสมกับกาวยาง กาวน้ำ หรือไข่ขาว สีฝุ่นเป็นสีที่มีลักษณะทึบแสง มีเนื้อสีค่อนข้างหนา เขียนสีทับกันได้ สีฝุ่นมักใช้ในการเขียนภาพทั่วไป โดยเฉพาะภาพฝาผนัง ในสมัยหนึ่งนิยมเขียนภาพผาฝนังที่เรียกว่า สีปูนเปียก (Fresco) โดยใช้สีฝุ่นเขียนในขณะที่ปูนที่ฉาบผนังยังไม่แห้งดี เนื้อสีจะซึมเข้าไปในเนื้อปูนทำให้ภาพไม่หลุดลอกง่าย>>>สีฝุ่นในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นผง เมื่อใช้งานนำมาผสมกับน้ำโดยไม่ต้องผสมกาว เนื่องจากในกระบวนการผลิตได้ทำการผสมมาแล้ว การใช้งานหมือนกับสีโปสเตอร์>>ง่ายขึ้นนั่นเองจ้า!!



ปกติสีฝุ่นมีทั้งแบบชนิดสี และแบบขาวดำ แต่ในเมืองไทยนิยมทำกันมากที่สุดคือแบบ ขาว-ดำ นิยมเขียนเป็นภาพเหมือนมากที่สุด>>>อุปกรณ์ที่ใช้กับสีฝุ่นคือ พู่กันจีน>>>ควรมีหลายๆขนาด สำหรับไว้ใช้ในพื้นที่ ที่แตกต่างกัน>>>หากเราอยากได้หัวพู่กันแบบเล็กๆจะใช้ เทปกาวใสพันหรือให้ทินเนอร์เคลือบไว้ เพื่อไม่ให้หัวพู่กันแตก>>>พู่กันเบอร์เล็กๆนี้เราเอาไว้ใช้กับพื้นที่เล็กๆเช่น บริเวณดวงตา เส้นผม จมูก ปาก เป็นต้น



>>>การรางภาพ ควรร่างด้วยดินสอ 2B ร่างในน้ำหนักที่บาง ไม่กดหรือร่างหนักเกินไป เพราะอาจเป็นรอยได้>>จะทำให้งานไม่สวยนะค่ะ เราควรเริ่มจากการลงน้ำหนัก เริ่มเขียนบริเวณจุดสำคัญอย่างดวงตา หรือใบหน้าก่อน และลงน้ำหนักจุดที่มีน้ำหนักที่เข้มก่อนแล้วค่อยลงน้ำหนักอ่อนทีหลัง>>จะทำให้ง่ายขึ้นค่ะ....



การแต่งภาพหรือจุดไฮไล้ท์ จะใช้ยางลบสะกิดเบาๆ อย่างเช่นแววตา >>> ในการเขียนภาพเหมือนนั้นดวงตาเป็นจุดสำคัญ และเป็นจุดเด่น เราจึงควรเน้นที่ดวงตาเป็รพิเศษ>>>> บริเวณพื้นหลัง เราควรพิจารณาจากตัวหุ่นว่าแสงอยู่ในทิศทางใด ควรเลือกให้แสงเข้ามาในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ให้สอดคล้องกับตัวหุ่นด้วย แต่บริเวณใกล้หุ่นจะต้องใช้น้ำหนักเข้ม เพื่อเน้นให้หุ่นดูเด่นชัดขึ้นมา....พื้นหลังควรใช้พู่กันเบอร์ที่ใหญ่ที่สุด ลงพื้นหลัง เพื่อจะได้เรียบเนียน หรออาจตามด้วยสำลีเกลี่ยเบาๆอีกทีค่ะ...





>>การใช้สีฝุ่นค่อนข้างยุ่งยาก และค่อนข้างสกปรก บางครั้งเราอาจจะใช้ผ้าปิดจมูกขณะเขียนภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าจมูกได้จ้า....เมื่อเขียนภาพเสร็จ เราจะใช้แล็กเกอร์สเปย์ แบบด้าน พ่นทับงานอีกที ต้องพ่นบางๆนะค่ะ ไม่งั้นงานอาจจะเงาเฉพาะจุดได้ งานพังได้นะค่ะ >>>>ทั้งนี้ก็เพราะสีฝุ่น เลอะเทอะง่ายค่ะ พ่นสเปย์ทับทำให้งานไม่เลอะไงละค่ะ.....